การออกกำลังกายแบบ Aerobic และ Anaerobic ต่างกันอย่างไร? พร้อมประโยชน์ในแต่ละแบบ

แชร์บทความนี้

การที่เรารู้จักความแตกต่างระหว่างการออกกำลังกายแบบ Aerobic และ Anaerobic จะมีประโยชน์ในการพัฒนาสุขภาพและความแข็งแรงตามที่เราตั้งเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ความหมายของ Aerobic และ Anaerobic Exercise

Aerobic Exercise (แอโรบิก)

เป็นการออกกำลังกายที่ใช้ ออกซิเจน เป็นแหล่งพลังงานหลัก เพื่อเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ทำให้สามารถออกกำลังกายได้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
ตัวอย่างกิจกรรม:

  • วิ่งจ๊อกกิ้ง
  • เดินเร็ว
  • ว่ายน้ำ
  • ปั่นจักรยาน

Anaerobic Exercise (แอนแอโรบิก)

การออกกำลังกายที่ใช้พลังงานแบบ ไม่ใช้ออกซิเจน แต่ใช้พลังงานจากแหล่งสะสมในกล้ามเนื้อ เช่น ไกลโคเจน (Glycogen) เหมาะสำหรับการออกกำลังกายที่ใช้พลังงานสูงในเวลาที่สั้น
ตัวอย่างกิจกรรม:

  • การวิ่งเร็ว (สปรินต์)
  • ยกน้ำหนัก
  • การออกกำลังกายแบบ HIIT (High-Intensity Interval Training)

 

2. ความแตกต่างหลักระหว่าง Aerobic และ Anaerobic

หัวข้อ Aerobic Anaerobic
แหล่งพลังงาน ใช้ออกซิเจน ไม่ใช้ออกซิเจน
ระยะเวลา นาน (20 นาทีขึ้นไป) สั้น (น้อยกว่า 2 นาที)
ความเข้มข้น ปานกลาง (60-75% ของ HR Max) สูงมาก (80-100% ของ HR Max)
การเผาผลาญ ไขมันและคาร์โบไฮเดรต คาร์โบไฮเดรต (Glycogen)
ประเภทการออกกำลังกาย

สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับ Hear rate zone (HR Max) ได้ที่นี่

ต่อเนื่อง เช่น วิ่ง, เดินเร็ว ช่วงสั้น เช่น ยกน้ำหนัก, สปรินต์

 

3. ประโยชน์ของ Aerobic Exercise

  1. เสริมสร้างระบบหัวใจและหลอดเลือด
    ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสูบฉีดเลือดและการนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
  2. เพิ่มการเผาผลาญไขมัน
    เหมาะสำหรับการลดน้ำหนักและลดไขมันในร่างกาย เนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาในการดึงไขมันส่วนต่างๆของร่างกายมาใช้เป็นพลังงาน
  3. เพิ่มความทนทาน (Endurance)
    การออกกำลังกายแบบ Aerobic จะช่วยให้ร่างกายสามารถมีความทนทานมากขึ้น สามารถทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายได้อย่างต่อเนื่องและนานขึ้น
  4. ช่วยลดลดความเครียด
    การออกกำลังกายแบบ Aerobic ช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเอ็นโดรฟินที่ช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย จึงสามารถช่วยลดความเครียดได้
  5. สร้างเสริมสุขภาพปอด
    การออกกำลังกายแบบ Aerobic จะช่วยให้ปอดแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

4. ประโยชน์ของ Anaerobic Exercise

  1. เสริมสร้างกล้ามเนื้อและความแข็งแรง (Strength Training)
    การออกกำลังกายแบบ Anaerobic เหมาะสำหรับการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและพละกำลัง
  2. เพิ่มความเร็วและพลัง
    การออกกำลังกายแบบ Anaerobic จะช่วยพัฒนาความสามารถในการทำกิจกรรมที่ใช้แรงระเบิด เช่น การสปรินต์
  3. เพิ่มการเผาผลาญในระยะยาว
    การออกกำลังกายแบบ Anaerobic ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญในร่างกายแม้จะหยุดออกกำลังกายไปแล้ว
  4. พัฒนาความทนทานของกล้ามเนื้อ (Muscle Endurance)
    การออกกำลังกายแบบ Anaerobic สามารถช่วยให้กล้ามเนื้อมีความทนทานขึ้น สามารถรับมือกับความเหนื่อยล้าได้ดีขึ้น
  5. เหมาะสำหรับนักกีฬา
    การออกกำลังกายแบบ Anaerobic เสริมสร้างสมรรถภาพเพื่อการแข่งกีฬา และความเป็นเลิศได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตามการออกกำลังกายแบบ Anaerobic ก็มีข้อเสียเนื่องจากจะสร้างความอ่อนล้าให้กับร่างกายจากการออกกำลังกายมากกว่า มีการใช้ร่างกายหนักว่า และก่อให้เกิดกรดแลคติกในร่างกายมากกว่า ซึ่งร่างกายจะต้องใช้เวลาในการกำจัดนานกว่า ใช้เวลาในการ Recovery ร่างกายมากกว่า และสุ่มเสี่ยงต่อการบาดเจ็บมากกว่าการออกกำลังกายแบบ Aerobic

5. เลือกการออกกำลังกายให้เหมาะกับเป้าหมาย

  • หากต้องการ ลดน้ำหนักและเพิ่มความทนทาน: ควรโฟกัสการออกกำลังกายแบบ Aerobic เช่น การวิ่งหรือว่ายน้ำ
  • หากต้องการ เพิ่มกล้ามเนื้อและพลัง: ควรเพิ่มการออกกำลังกายแบบ Anaerobic เช่น การยกน้ำหนักหรือ HIIT
  • ผสมผสานทั้งสองแบบ เพื่อพัฒนาร่างกายอย่างสมดุล

เพราะฉะนั้นการเลือกจุดมุ่งหมายในการออกกำลังกายมีความสำคัญมาก เพราะการออกกำลังกายทั้งแบบ Aerobic และ Anaerobic สามารถช่วยพัฒนาความแข็งแรงของร่างกายได้ ในหลายๆด้าน แต่จะต้องอยู่ภายใต้ความเหมาะสมกับสมรรถนะของร่างกาย อีกอย่างที่จะต้องไม่ละเลยเรื่องคือการพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟู เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ

ห่วง D-Ring บนชุดเข็มขัดนิรภัยแบบเต็มตัว(Full body Harness)กับการใช้งาน

แชร์บทความนี้

ห่วง D-Ring ที่ติดตั้งอยู่บนชุดเข็มขัดนิรภัยแบบเต็มตัวในรุ่นมาตรฐานนั้นผู้ผลิตจะติดตั้งมาให้1จุดบริวณด้านหลังของชุดโดยผ่านการทดสอบความ

อ่านต่อ »