สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล อันตรายกว่ามั้ย กินแค่ไหนถึงปลอดภัยและคำแนะนำจาก WHO

แชร์บทความนี้

เราคงคุ้นเคยและชื่นชอบ เครื่องดื่ม หรือน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลสูงๆ ที่ดื่มแล้วชื่นใจ ถ้าเรานานๆดื่มทีก็คงไม่เป็นไร แต่เครื่องดื่มเหล่านี้ ดันเป็นที่ชื่นชอบของพวกเรา จึงทำให้ มีการดื่มติดต่อกันในปริมาณที่มากขึ้น และติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ปริมาณน้ำตาลในร่างกายเราสูงขึ้นจึงเป็นสาเหตุการเกิดโรคตามมาอีกมากมาย  ทางผู้ผลิตจึงแก้เกมด้วยการใช้สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล เพื่อที่จะ ได้ความหวานใกล้เคียงเดิม แต่ไม่มีน้ำตาลให้กับร่างกายเรา วันนี้ เราจะพาไปเจาะดูว่า สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล เมื่อกินไปนานๆเข้าแล้วอันตรายมั้ย ข้อดีข้อเสียอย่างไรครับ

 

สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล มีอะไรบ้างและมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง

1. ซูคราโลส (Sucralose): เป็นสารทดแทนความหวานที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ในอาหารและเครื่องดื่ม มันมีความหวานมากกว่าน้ำตาล 600 เท่า แต่ไม่มีค่าพลังงานเพิ่มขึ้น และไม่กระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด

  • ข้อดี: มีความหวานสูงแต่ไม่มีค่าพลังงานที่เพิ่มขึ้น และไม่กระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด ใช้ในปริมาณน้อยแล้วก็สามารถให้ความหวานได้มากพอเพียง
  • ข้อเสีย: บางคนอาจมีความรู้สึกกลมกลืนหรือมีรสขมบางอย่างหลังจากบริโภคซูคราโลส

 

2. แอสปาแตม (Aspartame): เป็นสารทดแทนความหวานที่พบในอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรี่ มันมีความหวานเทียมกับน้ำตาลแต่มีพลังงานน้อยกว่า โดยมักใช้ในผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรูปแบบแป้งเป็นหลัก

  • ข้อดี: มีความหวานเทียมกับน้ำตาลแต่มีพลังงานน้อยกว่า ใช้ในปริมาณเล็กน้อยแล้วก็สามารถให้ความหวานได้มากพอเพียง
  • ข้อเสีย: ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ต่ออาซีฟามีอาจมีอาการแพ้หรือไม่สามารถทนต่อสารนี้ได้ นอกจากนี้ อาซีฟามีอาจเปลี่ยนรูปเมื่อถูกอุ่นจัดหรือใช้ในสภาวะที่มีความเป็นกรดสูง

 

3. สเตเวีย (Stevia): เป็นสมุนไพรที่มีความหวานแต่ไม่มีแคลอรี่ มันสามารถใช้เป็นสารทดแทนความหวานในอาหารและเครื่องดื่มได้ ซึ่งสเตเวียเป็นที่นิยมในการใช้สารทดแทนความหวานที่เป็นธรรมชาติ เช่น หญ้าหวาน เป็นต้น

  • ข้อดี: เป็นสารทดแทนความหวานธรรมชาติและไม่มีแคลอรี่ มีความหวานสูงและใช้ปริมาณน้อยได้ผลมากพอเพียง
  • ข้อเสีย: บางคนอาจพบว่าสารสกัดสเตเวียมีลักษณะคล้ำหรือมีกลิ่นแปลก และอาจมีรสขมบางอย่าง

 

4. ไดฟรักโทส (D-ทรอฟลาโวส์): เป็นสารทดแทนความหวานที่มีความหวานสูงกว่าน้ำตาลอย่างมาก แต่ไม่มีแคลอรี่ ใช้ในอาหารและเครื่องดื่มได้

  • ข้อดี: มีความหวานสูงแต่ไม่มีแคลอรี่ ใช้ในปริมาณน้อยแล้วก็สามารถให้ความหวานได้มากพอเพียง
  • ข้อเสีย: บางครั้งอาจมีลักษณะหลุดคลายหลังจากบริโภคแล้วทำให้รู้สึกเย็น และอาจมีผลข้างเคียงเช่น ปวดศีรษะหรือไมเกรนในบางราย

5. ไซลิทอล (Xylitol) สามารถพบได้ทั่วไปในผักผลไม้หลายชนิด ในทางการแพทย์ มีการใช้ไซลิทอลเป็นอาหารทางสายให้กับผู้ป่วย และยังมีการใช้เพื่อป้องกันฟันผุ เพราะไซลิทอลทำให้ความเป็นกรดในน้ำลายลดลง

  • ข้อดี ไม่ทำให้เกิดกรดที่ทำให้ฟันผุ ในทางกลับกันไซลิทอลเข้าไปลดระดับของแบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุในน้ำลายลง ออกฤทธิ์กำจัดแบคทีเรียบางชนิดที่ทำให้เกิดการติดเชื้อที่หู
  • ข้อเสีย หากกินในปริมาณมาก อาจทำให้ท้องเสียได้ในบางคน

 

6. เอริทริทอล (Erythritol) เป็นสารให้ความหวานในกลุ่มน้ำตาลแอลกอฮอล์ (Polyols) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสารให้ความหวานที่ให้พลังงาน (Nutritive Sweetener) โดยอิริทริทอลพบได้ในผลไม้ เช่น องุ่น พีช แตงโม รวมทั้งไวน์ เบียร์ และชีส หรือสังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้ทดแทนน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่ม

  • ข้อดี: ไม่มีแคลอรี่ ไม่มีคาร์โบไฮเดรท ไม่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และอินซูลิน สามารถใช้ทำอาหารและขนม เป็นเม็ดเหมือนน้ำตาล แถมการวัดตวงต่อกรัมก็คล้ายกับน้ำตาล
  • ข้อเสีย: ไม่ได้รู้สึกเหมือนกับกินน้ำตาล เพราะมีความรู้สึกเย็นที่ลิ้น หลังจากทานเข้าไป อาจทำให้ท้องอืด มีแก๊ส และบางคนอาจจะท้องเสีย แต่จะท้องเสียไม่มากเท่ากับน้ำตาลแอลกอฮอล์ตัวอื่น ๆ ว่ากันว่าการที่อิริทริทอลถูกดูดซึมแล้วขับออกทางไตอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ

    7. มาล์ติทอล (Maltitol) ให้แคลอรี่ต่ำ จัดเป็น polyol หรือ sugar alcohol ตัวหนึ่ง ที่ได้จาการ hydrogenation maltose ซึ่งผลิตมาจากแป้ง maltitol มีรสหวานที่ใกล้เคียงกับน้ำตาล โดยมีความหวานประมาณ 90% ของน้ำตาล แต่ให้พลังงานเพียงครึ่งหนึ่งของน้ำตาล
  • ข้อดี: ให้แคลเลอรี่ต่ำ เหมาะสมกับอาหารประเภทที่ต้องการให้ แคลอรี่ต่ำ ไขมันต่ำ
  • ข้อเสีย: มอลทิทอลจะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็วเหมือนน้ำตาลจึงทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ยาก และอาจทำให้เกิดแก๊สรวมถึงอาการท้องอืด

 

กินสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลแค่ไหนถึงปลอดภัย

ในส่วนปริมาณที่เหมาะสมนั้น แต่ละคนไม่เท่ากันนะครับ ทั้งนี้ควร ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ ที่มีการวินิฉัยระดับน้ำตาลในเลือด และข้อมูลอื่นๆประกอบกันนะครับ หรือหากให้พูดง่ายๆก็คือ ดูที่สารอาหารที่ควรได้รับต่อวัน อย่างเหมาะสมโดยอ้างอิงข้อมูลจาก อย. ก็ถือว่าใช้ได้เช่นกันครับ ดูเลยได้ที่นี่ https://nutrition2.anamai.moph.go.th/th/book/download/?did=194515&id=47232&reload=

ถ้ากินสารทดแทนความหวานเป็นเวลานานมากเกินไปอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร

การกินสารทดแทนความหวานเป็นเวลานานมากเกินไปอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่ดีนะครับ หากใช้ปริมาณที่เหมาะสม แต่ถ้าใช้ต่อเนื่องหรือมากเกินไป อาจเกิดผลข้างเคียงและปัญหาสุขภาพได้ เช่น:

 

  1. เพิ่มความเสี่ยงทางสุขภาพ: อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิด 2 หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบต่อมไทรอยด์ ควรระมัดระวังและปรึกษาแพทย์หากมีความเสี่ยงทางสุขภาพสูงเป็นพิเศษ
  2. ปัญหาทางเดินอาหาร: อาจส่งผลกระทบต่อระบบย่อยอาหาร อาจมีอาการอาเจียน ท้องอืด ท้องผูก หรือท้องเสีย
  3. ปัญหาการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: อาจทำให้ความสามารถในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการควบคุมน้ำหนัก ความต้องการยาอันตรายสูงขึ้น หรือเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพ
  4. อาการผิดปกติทางระบบประสาท: บางรายอาจมีอาการความรู้สึกเจ็บปวด ชา หรือสัมผัสผิดปกติในระบบประสาท เป็นต้น

คำแนะนำจาก WHO

ความคิดเห็นขององค์กรอนามัยโลก (World Health Organization, WHO) เกี่ยวกับสารทดแทนความหวานได้จากคำแนะนำที่เผยแพร่ในเอกสารทางการและข้อมูลที่เกี่ยวข้องในสถานการณ์ปัจจุบัน โดย WHO ได้กล่าวถึงสารทดแทนความหวานดังนี้:

  1. การลดบริโภคน้ำตาลเป็นเรื่องสำคัญ: WHO แนะนำให้ลดการบริโภคน้ำตาลอัดและน้ำตาลทรายในอาหารและเครื่องดื่ม และให้ความสำคัญกับการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการสูง เช่น ผัก ผลไม้ และแหล่งโปรตีนที่ดี เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย.
  2. สารทดแทนความหวานเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม: WHO ระบุว่าสารทดแทนความหวานอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการลดบริโภคน้ำตาล เมื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและในรูปแบบที่ปลอดภัย.
  3. ควรระวังปริมาณและคุณภาพของสารทดแทนความหวาน: WHO กล่าวถึงความสำคัญของการควบคุมปริมาณสารทดแทนความหวานที่ใช้ และต้องประเมินคุณภาพและความปลอดภัยของสารดังกล่าว.

คำแนะนำและมุมมองของ WHO เกี่ยวกับสารทดแทนความหวานอ้างอิงจากการศึกษาวิจัยทางการวิทยาศาสตร์และข้อมูลที่พร้อมใช้งานในการสนับสนุนคำแนะนำสำหรับสุขภาพทางโภชนาการ การตัดสินใจในการใช้สารทดแทนความหวานควรพิจารณาและปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางโภชนาการเพื่อการใช้งานที่เหมาะสมตามสถานการณ์และความต้องการส่วนบุคคล.

อย่างไรก็ดีการรับประทานสารให้ความหวานเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น เพราะผู้ที่ใช้ยังคงติดอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีความหวานอยู่ การแก้ปัญหาในระยะยาวก็คือการค่อยๆ ลดความหวานของอาหาร เครื่องดื่มต่างๆลง จนร่างกายเคยชินและสามารถปรับตัวเข้ากับรสชาติหวานที่น้อยลง ซึ่งจะส่งผลกับสุขภาพในระยะยาวและดีที่สุด

ประเภทอุปกรณ์ป้องกันทางหายใจ

แชร์บทความนี้

ประเภทอุปกรณ์ป้องกันทางหายใจ ประเภทอุปกรณ์ป้องกันทางหายใจแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ 4.1 ประเภทที่ทำให้อากาศปราศจากมลพิษ ก่อนที่จะ….

อ่านต่อ »