เจาะลึกเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะกับยุค PM 2.5

แชร์บทความนี้

ในยุคที่ปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง การมี เครื่องฟอกอากาศ ติดบ้านกลายเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อช่วยเสริมสร้างสุขภาพทางเดินหายใจ และลดความเสี่ยงจากโรคที่เกิดจากอากาศเสีย บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของเครื่องฟอกอากาศ ประเภทต่าง ๆ ตลอดจนปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

ประวัติศาสตร์เครื่องฟอกอากาศ

เครื่องฟอกอากาศถือกำเนิดครั้งแรกในปี 1960 โดยสองพี่น้องชาวเยอรมนี ‘แมนเฟรด แฮมเมส’ และ ‘เคลาส์ แฮมเมส’ ซึ่งร่วมมือกันสร้างอุปกรณ์กรองอากาศเพื่อลดฝุ่นควันในบ้าน หลังพบว่าการติดตั้งตัวกรองช่วยลดอาการหอบหืดและภูมิแพ้ได้ บริษัท IQAir ของพวกเขาจึงก่อตั้งขึ้นในปี 1963 และกลายเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีการฟอกอากาศที่ทันสมัย รวมถึงการพัฒนาไส้กรอง HEPA ซึ่งกลายมาเป็นมาตรฐานสากลในปัจจุบัน

ประเภทของเครื่องฟอกอากาศ

การเลือกประเภทของเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสมกับความต้องการเป็นสิ่งสำคัญ เครื่องฟอกอากาศสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่:

  1. HEPA Filter
    • ใช้แผ่นกรองไฟเบอร์กลาสที่สามารถดักจับฝุ่นขนาดเล็กถึง 0.3 ไมครอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ (99.97%)
    • เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้หรืออาศัยในพื้นที่ที่มีปัญหา PM 2.5
    • ข้อเสีย: แผ่นกรองต้องเปลี่ยนบ่อยและมีราคาสูง
  2. Ionizer
    • ปล่อยประจุลบเพื่อดักจับอนุภาคในอากาศ
    • มีขนาดกะทัดรัดและราคาประหยัด
    • ข้อเสีย: อาจปล่อยโอโซนในปริมาณเล็กน้อย ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคหอบหืด
  3. Electrostatic Precipitator
    • ใช้เทคโนโลยีไฟฟ้าสถิตเพื่อดักจับฝุ่นละออง
    • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแผ่นกรอง
    • ข้อเสีย: ประสิทธิภาพต่ำกว่า HEPA Filter ในการดักจับอนุภาคขนาดเล็ก
  4. UV Air Purifier
    • ใช้แสง UV ในการฆ่าเชื้อโรคและไวรัส
    • เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง
    • ข้อเสีย: ไม่สามารถดักจับฝุ่น PM 2.5 ได้

ปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อ

การเลือกเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสมควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:

  • ขนาดห้อง: ใช้สูตร (กว้าง x ยาว x สูง) เพื่อคำนวณปริมาตรห้อง และเลือกเครื่องที่มีค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) เพียงพอ
  • ประสิทธิภาพการกรอง: เลือกเครื่องที่ใช้ HEPA Filter หรือเทคโนโลยีที่สามารถกรอง PM 2.5 ได้
  • เสียงรบกวน: หากวางในห้องนอน ควรเลือกเครื่องที่มีเสียงต่ำกว่า 30 dB
  • ฟังก์ชันเสริม: เช่น การควบคุมผ่านแอป การตั้งเวลา หรือระบบตรวจจับฝุ่นอัตโนมัติ

ข้อดีและข้อเสียของเครื่องฟอกอากาศ

ข้อดี:

  • ช่วยลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 และสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ
  • บรรเทาอาการภูมิแพ้และหอบหืด
  • ปรับปรุงคุณภาพอากาศในบ้านให้สะอาดและบริสุทธิ์ขึ้น

ข้อเสีย:

  • ไม่สามารถกำจัดฝุ่นได้ทั้งหมด หากไม่มีการทำความสะอาดบ้านควบคู่
  • รุ่นบางประเภทไม่สามารถกำจัดกลิ่นได้ ควรเลือกเครื่องที่มี Activated Carbon Filter
  • ต้องบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ เช่น การล้างหรือเปลี่ยนแผ่นกรอง

เครื่องฟอกอากาศยอดนิยมปี 2024

  • Dyson Purifier Cool™: เหมาะสำหรับผู้ต้องการเครื่องที่มีฟังก์ชันพัดลม
  • Xiaomi Smart 4 Pro: ราคาย่อมเยาพร้อมฟังก์ชันที่ครบครัน
  • Philips Air Purifier: โดดเด่นด้วย HEPA Filter คุณภาพสูง
  • Blueair HealthProtect™: ได้รับการยอมรับจากมาตรฐานสากล
  • Daikin MC55ZV1S: เน้นความทนทานและเหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ใหญ่

ข้อควรระวังและการดูแลรักษา

  1. ติดตั้งในตำแหน่งที่อากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงการวางใกล้กำแพง
  2. ล้างหรือเปลี่ยนแผ่นกรองอย่างสม่ำเสมอ
  3. ใช้งานร่วมกับพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศเพื่อช่วยการไหลเวียนอากาศ

สรุป

การเลือกเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสมสามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตและลดความเสี่ยงจากมลพิษทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ขนาดห้อง ประสิทธิภาพการกรอง และฟังก์ชันเสริม จะช่วยให้คุณเลือกเครื่องที่เหมาะสมที่สุดสำหรับความต้องการ

พายุฤดูร้อนคืออะไร ติดตามการเตือนภัยเรื่องพายุฤดูร้อนได้ยังไงและวิธีการเตรียมตัว

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้พายุฤดูร้อนคือ พายุฤดูร้อน (Tropical Cyclone) เป็นสภาพอากาศโดยมากจะ

อ่านเพิ่มเติม »

ข้อกำหนดอ่างล้างตาและฝักบัวชำระล้างฉุกเฉินตาม ANSI Z358.1-2014 Standard

แชร์บทความนี้

ในปัจจุบันมาตรฐานสากลที่ใช้อ้างอิงกันอย่างแพร่หลายคือ ANSI Z358.1-2014 Standard (Versionปัจจุบัน) ซึ่งได้กำหนดหัวข้อสำคัญๆไว้ดังนี้

อ่านเพิ่มเติม »