ติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะอันตรายที่ใครก็ไม่อยากให้เกิด

แชร์บทความนี้

เมื่อถึงเวลาที่เราเจ็บป่วย หนี่งในภาวะที่ทุกคนต่างก็ภาวนาขออย่าให้เกิดคือ การติดเชื้อในกระแสเลือด เพราะนอกจากจะเป็นอุปสรรคต่อการรักษาอาการป่วยที่มีอยู่แล้ว ยังมักพบอาการแทรกซ้อนอย่างอื่นร่วมด้วย ในรายที่อาการหนักอาจส่งผลให้การทำงานของอวัยวะภายในล้มเหลว จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ชีวิตได้

ไขข้อสงสัย ติดเชื้อในกระแสเลือด คือติดเชื้ออะไร

ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดหรือ Septicemia คือภาวะที่ร่างกายได้รับเชื้อแบคทีเรียเข้ามาในกระแสโลหิต โดยได้รับเข้ามาผ่านส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ถ้าไม่ใช่เชื้อแบคทีเรียก็อาจจะเป็นสิ่งแปลกปลอมจำพวกไวรัสหรือเชื้อราก็ได้

เชื้อต่าง ๆ ที่ทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือด มักมีสาเหตุมาจาก

  1. การติดเชื้ออันเนื่องมาจากมีปัญหาทางสุขภาพอยู่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นการเจ็บป่วยหรือติดเชื้อที่ช่องท้อง เกิดในคนที่มีอาการปอดบวม ไตอักเสบ หรือทางเดินปัสสาวะอักเสบ ซึ่งผู้ที่ป่วยด้วยโรคเหล่านี้ทำให้เชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว
  2. การติดเชื้อเนื่องจากร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ การติดเชื้อในกระแสเลือดมีโอกาสเกิดมากกว่าในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำอยู่แล้ว เช่น ผู้ป่วยลูคีเมีย หรือผู้ที่มีเชื้อ HIV
  3. การติดเชื้อเนื่องมาจากร่างกายได้รับบาดเจ็บหนัก ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักและมีแผลฉกรรจ์ที่ร่างกาย ก็มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อในกระเลือดได้มากขึ้น อย่างเช่นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากแผลไฟไหม้ เป็นต้น
  4. การติดเชื้อระหว่างกระบวนการรักษาตัว เป็นการติดเชื้อที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำหัตถการบางอย่างเมื่อต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล เช่น การสอดท่อเข้าไปที่หลอดเลือด หรือการโดนสวนท่อปัสสาวะ เป็นต้น

เมื่อได้รับเชื้อแล้ว แน่นอนว่าร่างกายของเราต้องพยายามหาทางที่จะกำจัดเชื้อนั้นออก หรือมีปฏิกิริยาตอบโต้เชื้อแบคทีเรียนั้น เพราะเหตุนี้จึงเกิดการอักเสบทั่วร่างกายตามมา และสถานการณ์หลังจากนี้ หากไม่มีการรักษาและควบคุมอย่างเหมาะสม ร่างกายก็มีแนวโน้มที่จะแย่ลงตามลำดับ

  1. อาจไม่ค่อยรู้สึกตัว เกิดอาการสับสน ไม่สามารถนึกอะไรออกได้
    2. อาจเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ทำให้ร่างกายไม่สามารถลำเลียงออกซินเจนไปยังอวัยวะสำคัญ ๆ ได้
    3. อาจเกิดภาวะช็อก และการทำงานของระบบอวัยวะในร่างกายล้มเหลว

รู้ได้อย่างไรว่า ผู้ป่วยอาจติดเชื้อในกระแสเลือดแล้ว

หากมีอาการดังต่อไปนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะได้รับการสันนิษฐานว่าติดเชื้อในกระแสเลือด

  1. รู้สึกหนาวผิดปกติ
    2. มือและเท้าเย็น
    3. ไข้ขึ้นสูง
    4. หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว
    5. ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบร่วมด้วย

สำหรับการรักษา หากผู้ป่วยไม่ได้มีอาการรุนแรงมาก ก็สามารถใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาได้ โดยยาที่ใช้รักษาจะมีฤทธิ์ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียหลายประเภทในโดสเดียว นั่นเพราะในบางเคสอาจจะระบุชนิดของเชื้อแบคทีเรียแบบเจาะจงได้ไม่ทันอาการที่หนักขึ้น

ในผู้ที่มีอาการหนัก การรักษาก็อาจจะยกระดับขึ้น โดยรักษาตามอาการที่เป็น เช่น อาจต้องต่อท่อช่วยหายใจในรายที่ไม่สามารถหายใจได้ด้วยตัวเอง ให้สารน้ำทางหลอดเลือด ให้ยาเพื่อเพิ่มความดันโลหิต หรือผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อส่วนที่ติดเชื้อและเสียหายออกไป

เตรียมตัวอย่างไรเมื่อเกิดเหตุการณ์ สารเคมีหกรั่วไหล

แชร์บทความนี้

สารเคมีหกรั่วไหล นั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุเช่นความประมาทจากการเคลื่อนย้ายสารเคมี อุบัติเหตุจากการปฏิบัติงาน ฯลฯ เราจะเตรียมตัว

อ่านต่อ »

มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใน มาตรฐาน NFPA 1981/1982 :2018

แชร์บทความนี้

อย่างที่ทราบกันสำหรับ มาตรฐาน NFPA 1981/1982 ฉบับปีล่าสุด 2018 ที่ถือได้ว่าเข้มงวดและมีการปรับปรุงมาตรฐานทุกๆ 5 ปี โดยในแวดวงของผู้พัฒนา

อ่านเพิ่มเติม »