ทำความรู้จักภาวะสมองล้า ในวัยทำงาน

แชร์บทความนี้

จริงๆแล้วภาวะสมองล้า มีมานานแล้วนะครับมักเกิดกับผู้สูงอายุที่มีภาวะเสื่อมของอวัยวะ เป็นเรื่องปกติของผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 55+ เป็นต้นไป  แต่ที่น่าสนใจคือข้อมูลจากกรมการแพทย์ชี้ว่า วัยทำงานหรือคนที่อายุตั้งแต่ 25 – 55 ก็มีอาการสมองล้ามากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแล้ว วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักและหาวิธีป้องกันครับ

ภาวะสมองล้า (Brain Fog Syndrome) คือ ภาวะเครียดโดยไม่รู้ตัวจากการที่สมองถูกใช้งานอย่างหนักเป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจเกิดจากความเร่งรีบที่จะทำงานให้เสร็จ การพักผ่อนน้อย หรือการทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป ทำให้สารสื่อประสาทในสมองซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลสัญญาณไฟฟ้าระหว่างเซลล์ของระบบประสาทเสียสมดุล ประสิทธิภาพการทำงานของสมองจึงแย่ลง มีการเปรียบเทียบไว้ว่าเหมือนมีหมอกลงในสมองทำให้ไม่สดใส Brain Fog Syndrome หากเกิดบ่อยครั้งจะกลายเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ มากมาย เช่น โรคกระเพาะ, โรคอ้วน, ภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติ, โรคเบาหวาน ฯลฯ

 

ภาวะสมองล้า เป็นภาวะที่เกิดได้กับทุกคน เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน โดยทั่วไปแล้วภาวะสมองล้าเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นความเครียด การนอนหลับที่ไม่ดี พักผ่อนไม่เพียงพอ ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง การได้รับยาบางชนิด ไม่ชอบออกกำลังกาย เป็นต้น

 

เช็ก ร่างกายมีอาการเหล่านี้หรือไม่? คุณอาจกำลังเผชิญกับภาวะสมองล้าอยู่

  • นอนไม่หลับ นอนหลับยาก
  • สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก
  • ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับงานได้
  • ปวดศีรษะเรื้อรัง
  • นอนหลับไม่สนิท
  • หงุดหงิดง่าย
  • ขี้ลืม ความจำแย่ลง
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียบ่อย
  • รู้สึกสมองไม่โลดแล่น
  • ไม่สดใส ไม่สดชื่น
  • คิดคำพูดไม่ค่อยออก มึนงง
  • อารมณ์แปรปรวน

 

สำหรับผู้ที่เป็น COVID

 

ภาวะสมองล้า หลังติดเชื้อโควิด-19 (Long Covid) เป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาการที่พบหลังจากหายจากการติดเชื้อโควิด-19 โดยข้อมูลจากกรมการแพทย์พบว่า หลังหายจากการติดเชื้อแล้วมีผู้ป่วยประมาณ 32.1% ที่ต้องเผชิญกับผลกระทบทางจิตใจจากลองโควิด โดยกลุ่มอาการภาวะสมองล้า (Brain Fog) จะดีขึ้นตามลำดับเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 2-4 สัปดาห์

 

รักษาสมองไม่ให้ล้า: แล้วเราจะทำยังไง?

เมื่อพูดถึงการรักษาสมองไม่ให้ล้า เราไม่ต้องทำมันให้ดูซับซ้อนเกินไป เรามีเคล็ดลับง่ายๆ ที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้เลย!

1. ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับเทคโนโลยี

การใช้เทคโนโลยีเป็นสิ่งดี แต่ก็ไม่ควรให้มันเป็นทุกเวลา ให้ตั้งเวลาพักโดยเฉพาะเมื่อเราใช้เทคโนโลยีมากมาย

2. มองโลกในแง่ดี

คิดบวกและลองมองโลกในแง่ดี นี้เป็นการลดความเครียดและส่งเสริมสุขภาพจิต

3. อาหารที่ดีต่อสมอง

ไม่ต้องทำให้ซับซ้อน กินผักผลไม้ ไขมันดี และโปรตีน เพื่อให้สมองได้รับสารอาหารที่จำเป็น

4. นอนพักผ่อน

นอนหลับครบ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน และรักษาระเบียบการนอนในเวลาที่เหมาะสม

5. ออกกำลังกายเป็นประจำ

ไม่ต้องทำให้เหมือนกับการฝึกซ้อมทหาร แค่ออกกำลังกายเป็นประจำก็มีประโยชน์แล้ว

6. เลี่ยงสิ่งที่อันตราย

หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้สุขภาพเสีย หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และพยายามลดการดื่มกาแฟในช่วงเย็น

7. ท่องเที่ยวธรรมชาติ

เป็นการผ่อนคลายที่ดี ลองท่องเที่ยวธรรมชาติเพื่อสัมผัสกับธรรมชาติและสูดออกซิเจนบริสุทธิ์

ด้วยเคล็ดลับน้อยๆ เหล่านี้ คุณสามารถดูแลสมองของคุณให้มีสุขภาพที่ดีและไม่ให้ล้าได้อย่างไม่ยากเย็น ลองนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของคุณดูนะ!

สารอาหารที่ช่วยบำรุงสมองให้มีสุขภาพที่ดี

การดูแลสมองเป็นเรื่องสำคัญเพื่อรักษาสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจของเรา เราสามารถดูแลสมองได้ด้วยการบริโภคสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมองและระบบประสาทมีอะไรบ้าง มาดูกันครับ

  • น้ำมันปลา (Fish Oil): สารอาหารที่ประกอบด้วยดีเอชเอ (DHA) และกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีมากในปลาชนิดต่าง ๆ เช่น ปลาแซลมอน ช่วยป้องกันโรคเสื่อมทางสมอง และส่งเสริมทักษะการทำงานด้านการเคลื่อนไหวและการมองเห็น.
  • สารสกัดจากแปะก๊วย (Ginkgo Biloba Extract): ช่วยในการปรับปรุงระบบไหลเวียนเลือดไปยังสมอง และเสริมสร้างพลังงานให้กับเซลล์สมอง.
  • โคลีน (Choline Bitartrate): สารอาหารสำคัญในกลุ่มวิตามินบีที่เสริมสร้างสารสื่อประสาทอย่างอะเซททิลโคลีน (Acetylcholine) ที่มีบทบาทในการส่งกระแสประสาทในสมอง.
  • สารสกัดจมูกข้าว (Gamma Oryzanol): มีบทบาทในการทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง, ช่วยลดความเครียดและกระตุ้นการผ่อนคลาย.
  • ธีอะนีน (L – Theanine): เสริมสารซีโรโทนิน, โดพามีน, และกาบา เพื่อผ่อนคลายและลดความเครียด.
  • ฟอสฟาติดิลซีรีน (Phosphatidylserine): ไขมันที่สำคัญสำหรับเซลล์ประสาทในสมอง, ช่วยรักษาความจำและป้องกันความเสื่อมทางสมอง พบได้ในอาหารเสริมที่สกัดจากกะหล่ำปลีหรือถั่วเหลือง.
  • แอลคาร์นิทีน แอลทาร์เทรต (L-Carnitine L-Tartrate): เสริมสารสื่อประสาทอะซิติลโคลีน, ช่วยแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสมองและเซลล์ประสาท พบได้ในอาหารจำพวกกลุ่มเนื้อแดง ถั่ว อะโวคาโดได้ด้วย
  • วิตามินซี (Vitamin C): ช่วยสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อและเสริมสร้างกระดูก, ฟัน, และผิวหนัง.
  • วิตามินเอ (Vitamin A Acetate): สารที่สำคัญสำหรับการมองเห็น, เสริมภูมิคุ้มกัน, และป้องกันการติดเชื้อ.
  • วิตามินอี (Vitamin E DL – Alpha – Tocopheryl Acetate): สารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่ช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์.
  • วิตามินบี (Vitamin B Complex): ช่วยในการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ ในร่างกาย, สนับสนุนกระบวนการเผาผลาญสารอาหาร, และปรับสมดุลของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย.

การบริโภคสารอาหารเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการรักษาสุขภาพสมองและรักษาความคิดรวบยอด แต่ยังควรรักษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพทั่วไปอีกด้วย เช่น การออกกำลังกาย, การหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เครียด, และการรักษานอกเหนือจากอาหารด้วยการพักผ่อนที่เพียงพอและการนอนหลับที่มีคุณภาพ.”

 

The New ANSI Z87.1-2003

แชร์บทความนี้

จากการที่มาตรฐานใหม่ ANSI Z87.1-2003 ได้รับการอนุมัติ หลังจากคณะกรรมการ ANSI

อ่านต่อ »

อุปกรณ์Emergency Shower ชนิดSelf-Contained Eyewash

แชร์บทความนี้

ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าในการทำงานร่วมกับสารเคมีนั้นมีโอกาสที่ผู้ปฏิบัติงานอาจได้รับอันตรายจากสัมผัสสารเคมีดังกล่าวโดยไม่ตั้งใจ…

อ่านต่อ »