โรคหลอดเลือดสมอง หรือ สโตรก (Stroke) คือภาวะที่สมองขาดเลือดหรือมีเลือดออกในสมอง ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจน ส่งผลให้เซลล์สมองตาย กำลังกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในประเทศไทย โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ข้อมูลจากการศึกษาพบว่า อัตราความชุกของโรคหลอดเลือดสมองในประชากรไทยเพิ่มขึ้นจาก 1.12% เป็น 2.56% ภายในระยะเวลา 10 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (T2DM) และผู้ที่มีวิถีชีวิตอยู่กับการทำงานที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว (sedentary occupation)
ปัจจัยเสี่ยงหลักที่ส่งผลต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
-
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (T2DM) ระยะยาว: ผู้ที่เป็นเบาหวานมานานกว่า 10 ปี มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองสูงขึ้นถึง 6 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีเบาหวาน
-
อาชีพที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว: ผู้ที่มีอาชีพที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน เช่น ข้าราชการ หรือพนักงานออฟฟิศ มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองสูงขึ้นถึง 5.8 เท่า
-
เพศชาย: ผู้ชายมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าผู้หญิงถึง 3.5 เท่า
-
อายุ: แม้ว่าความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ แต่การศึกษาพบว่า ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปี ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองเช่นกัน
แนวทางการป้องกันและลดความเสี่ยง
-
การจัดการโรคเบาหวาน: ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ
-
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน: หากมีอาชีพที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน ควรลุกขึ้นเคลื่อนไหวหรือยืดเส้นยืดสายเป็นระยะ
-
การออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
-
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์: ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง และเพิ่มการบริโภคผักและผลไม้
-
การเลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์: พฤติกรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
ประเด็นเพิ่มเติมที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “โรค Stroke” ในประเทศไทย
1. Stroke กำลังเป็นภัยเงียบของคนวัยทำงาน
-
เดิมทีโรคหลอดเลือดสมองถูกมองว่าเป็น “โรคของผู้สูงอายุ” แต่ปัจจุบัน คนอายุ 30-50 ปี เริ่มมีแนวโน้มเป็นโรคนี้มากขึ้น จากความเครียด การอดนอน นั่งทำงานหน้าคอมฯ นาน และไม่ออกกำลังกาย
-
กลุ่ม “Work From Home” และ “Freelancer” เสี่ยงแบบไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดการเคลื่อนไหวต่อเนื่องในแต่ละวัน
2. ภาวะ Mini Stroke หรือ TIA (Transient Ischemic Attack)
-
เป็น “สัญญาณเตือน” ที่หลายคนมองข้าม เช่น ชาครึ่งหน้า พูดไม่ชัดอยู่แป๊บเดียวแล้วหาย
-
แม้อาการจะหายได้ในไม่กี่นาที แต่หากไม่รีบรักษา มีโอกาสเกิด Stroke ใหญ่ตามมาใน 48 ชั่วโมง
3. Stroke ไม่ใช่แค่ “อัมพาต” แต่อาจซ่อนอาการทางจิตเวช
-
ผู้ป่วยจำนวนมากหลังฟื้นจาก Stroke อาจมีอาการ ซึมเศร้า, หวาดกลัว, หรือภาวะสมองเสื่อม ตามมา
-
สถาบันประสาทวิทยาระบุว่า 30-50% ของผู้ป่วย Stroke มีภาวะ Post-Stroke Depression (PSD)
4. ค่าใช้จ่ายในการรักษา Stroke สูงมาก
-
การรักษาผู้ป่วย Stroke เฉียบพลันใน รพ. (เช่น ฉีดยาละลายลิ่มเลือด) มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 3 หมื่น – 1 แสนบาท ขึ้นไป
-
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ทำให้ครอบครัวต้องแบกรับภาระระยะยาว
5. นโยบาย “Stroke Fast Track” ในไทย
-
โรงพยาบาลรัฐหลายแห่งมีโปรแกรม “Stroke Fast Track” ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการวินิจฉัยและฉีดยา TPA ฟรี หากมาถึงโรงพยาบาลภายใน 4.5 ชั่วโมง
-
การให้ความรู้เรื่อง “รู้เร็ว รักษาเร็ว” จึงเป็นหัวใจสำคัญ
🚨 สังเกตง่ายๆ ด้วยหลัก FAST
อักษร | ความหมาย | วิธีสังเกต |
---|---|---|
F = Face | ใบหน้าผิดปกติ | ยิ้มแล้วมุมปากตก หน้าบูดเบี้ยว |
A = Arms | แขนไม่มีแรง | ยกแขนทั้งสองข้างไม่เท่ากัน |
S = Speech | พูดไม่ชัด | พูดลำบาก พูดคำง่ายๆ ไม่ชัดเจน |
T = Time | เวลาเร่งด่วน | รีบนำส่งโรงพยาบาล ภายใน 4.5 ชั่วโมง |
⏱️ “ยิ่งเร็ว ยิ่งรอด” เพราะการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด (TPA) มีผลดีที่สุดเมื่อให้ภายใน 4.5 ชั่วโมง
บทสรุป
การเพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดสมองในประเทศไทยเป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง เช่น ผู้ป่วยเบาหวานและผู้ที่มีอาชีพที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว การส่งเสริมการดูแลสุขภาพตนเองและการให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง