การเบิร์นไขมัน: หลักโภชนาการ + การออกกำลังกาย + การคำนวณ TDEE

แชร์บทความนี้

การลดไขมันไม่ใช่เรื่องของการ “อดอาหาร” แต่คือ “การควบคุมพลังงานและเสริมสร้างระบบเผาผลาญ” อย่างถูกต้อง เพื่อให้ร่างกายดึงพลังงานจากไขมันสะสมมาใช้ โดยต้องอาศัยองค์ประกอบหลัก 3 ด้าน คือ โภชนาการ การออกกำลังกาย และความเข้าใจในระบบพลังงานของร่างกาย

👉 ย้อนกลับไปอ่านบทความ: ไขมันคืออะไร? รู้จักชนิดและผลกระทบของไขมันต่อร่างกาย

🔥 ไขมันเผาผลาญได้อย่างไรในร่างกาย?

กระบวนการที่ร่างกายนำไขมันมาใช้เป็นพลังงาน เรียกว่า Lipolysis โดยไขมันที่สะสมในรูปไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) จะถูกย่อยเป็นกรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acids) แล้วเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงานผ่านกระบวนการ Beta-Oxidation ในไมโตคอนเดรีย

เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน:

  • พลังงานที่ใช้ต่อวัน > พลังงานที่ได้รับ (Caloric Deficit) 
  • การออกกำลังกายที่ใช้ระบบแอโรบิก (Aerobic) 
  • ฮอร์โมน เช่น adrenaline, norepinephrine เพิ่มขึ้น 

🧮 รู้จัก TDEE: กุญแจสำคัญสู่การวางแผนเบิร์นไขมัน

TDEE = Total Daily Energy Expenditure
คือค่าพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายใช้ใน 1 วัน ซึ่งประกอบด้วย:

  1. BMR (Basal Metabolic Rate) – พลังงานที่ใช้ขณะพัก (เช่น หายใจ, ทำงานของอวัยวะ) 
  2. TEF (Thermic Effect of Food) – พลังงานที่ใช้ย่อยอาหาร (~10%) 
  3. NEAT (Non-Exercise Activity Thermogenesis) – การเคลื่อนไหวทั่วไป เช่น เดินขึ้นบันได 
  4. EAT (Exercise Activity Thermogenesis) – พลังงานจากการออกกำลังกายโดยตรง 

🔢 สูตรคำนวณ TDEE อย่างง่าย:

  1. คำนวณ BMR (Mifflin-St Jeor Equation) 

ผู้ชาย
BMR = (10 × น้ำหนัก kg) + (6.25 × ส่วนสูง cm) – (5 × อายุ ปี) + 5

ผู้หญิง
BMR = (10 × น้ำหนัก kg) + (6.25 × ส่วนสูง cm) – (5 × อายุ ปี) – 161

  1. คูณด้วยระดับกิจกรรม: 
ระดับกิจกรรม ค่า TDEE multiplier
นั่งทำงาน ไม่ออกกำลังกาย 1.2
ออกกำลังกายเบาๆ 1–3 วัน/สัปดาห์ 1.375
ออกกำลังกายปานกลาง 3–5 วัน/สัปดาห์ 1.55
ออกกำลังกายหนัก 6–7 วัน/สัปดาห์ 1.725
นักกีฬา/งานที่ใช้แรงเยอะ 1.9

🔎 ตัวอย่าง:
ชาย อายุ 30 ปี น้ำหนัก 70 kg ส่วนสูง 175 cm ออกกำลังกาย 3 วัน/สัปดาห์
BMR = (10×70) + (6.25×175) – (5×30) + 5 = 1618.75
TDEE = 1618.75 × 1.55 ≈ 2500 kcal/day

หากต้องการลดไขมัน:
→ สร้าง Caloric Deficit = กินน้อยกว่าค่า TDEE ประมาณ 500 kcal
→ ได้ผลเฉลี่ย: ลดไขมัน 0.5 kg ต่อสัปดาห์

🍽️ กลยุทธ์โภชนาการเพื่อเบิร์นไขมัน

  1. ปรับลดพลังงานลงจาก TDEE แบบพอเหมาะ (ไม่เกิน -500 kcal/วัน) 
  2. รักษาสัดส่วนสารอาหาร: 
    • โปรตีน: 1.6 – 2.2 g / น้ำหนักตัว (kg) เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ 
    • คาร์โบไฮเดรต: ปรับตามกิจกรรมและเป้าหมาย 
    • ไขมันดี: 20–30% ของพลังงาน รวม Omega-3 และ MUFA 
  3. เน้นอาหาร Whole Foods และอาหารไม่ผ่านกระบวนการ 
  4. หลีกเลี่ยงน้ำตาลและไขมันทรานส์ 

🏃‍♀️ การออกกำลังกายแบบเบิร์นไขมัน

ประเภท ตัวอย่าง จุดเด่น
Cardio (แอโรบิก) เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เผาผลาญไขมันระหว่างทำกิจกรรม
HIIT (Interval) Sprint 30 วิ สลับพัก เร่งการเผาผลาญต่อเนื่องหลังออกกำลังกาย
Weight Training Squat, Deadlift, Bench Press กระตุ้นระบบเมตาบอลิซึม เพิ่มกล้ามเนื้อ

คำแนะนำ:
ควรผสมผสานทั้ง Cardio และ Weight Training เพื่อเพิ่มการใช้พลังงานรวม (TDEE) และรักษามวลกล้ามเนื้อ

✅ สรุป: เบิร์นไขมันอย่างมีวิทยาศาสตร์

  • คำนวณ TDEE เพื่อรู้พลังงานที่ต้องใช้ 
  • ปรับอาหารให้มี Caloric Deficit อย่างปลอดภัย 
  • เสริมการออกกำลังกายทั้งแอโรบิกและเวทเทรนนิ่ง 
  • อย่าลดอาหารหรือไขมันอย่างหักดิบ — เน้นการเปลี่ยนพฤติกรรมระยะยาว

 

📉 วิธีการหา “อัตราการเผาผลาญไขมัน” ของแต่ละคน

อัตราการเผาผลาญไขมัน (Fat Oxidation Rate) คือ ปริมาณไขมันที่ร่างกายเผาผลาญเป็นพลังงานต่อหน่วยเวลา โดยวัดได้ทั้งในหน่วยกรัม/ชั่วโมง หรือเปอร์เซ็นต์ของพลังงานรวมที่ใช้

🧪 1. การวัดแบบทางวิทยาศาสตร์ (Lab-based method)

หากคุณเข้ารับการทดสอบในห้องปฏิบัติการด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา หรือโรงพยาบาลเฉพาะทาง สามารถใช้วิธีเหล่านี้ได้:

วิธี รายละเอียด ค่าที่ได้
Indirect Calorimetry วัดอัตราการแลกเปลี่ยนก๊าซ (VO₂ / VCO₂) ระหว่างออกกำลังกาย คำนวณได้ทั้ง %Fat Burn และ g/min
RER (Respiratory Exchange Ratio) คำนวณจาก VCO₂ / VO₂ เพื่อบอกว่าใช้พลังงานจากคาร์บหรือไขมัน ค่า RER < 0.85 = ใช้ไขมันมากกว่า

ตัวอย่างค่า RER:

  • RER = 0.70 → เผาผลาญไขมัน 100% 
  • RER = 0.85 → เผาผลาญไขมัน ~50% 
  • RER = 1.00 → เผาผลาญคาร์โบไฮเดรต 100% 

🧮 2. การประเมินด้วยสูตรเบื้องต้น (สำหรับบุคคลทั่วไป)

คุณสามารถประเมินอัตราการเผาผลาญไขมันโดยประมาณระหว่างออกกำลังกายได้จากสูตร:

อัตราเผาผลาญไขมัน ≈ Total Calories × %Fat Used

โดยที่:

  • %Fat Used จะขึ้นกับความหนักของการออกกำลังกาย 
  • ใช้ข้อมูลจาก ACSM (American College of Sports Medicine) และ งานวิจัยของ Achten & Jeukendrup (2003) 

🏃 ตัวอย่างอัตราการใช้ไขมันตามระดับความหนัก:

ความหนัก % HRmax (อัตราการเต้นหัวใจ) สัดส่วนพลังงานจากไขมัน
เดินเบา (40-50% HRmax) ~100–120 bpm ใช้ไขมัน 70–85%
เดินเร็ว/วิ่งช้า (60–65% HRmax) ~130–140 bpm ใช้ไขมัน 50–60%
วิ่งเร็ว (75–85% HRmax) ~150–165 bpm ใช้ไขมันลดลง เหลือ <30%

Fat Max Zone: ช่วงความหนักที่เผาผลาญไขมันมากที่สุด มักอยู่ที่ 60–70% ของ HRmax

💡 วิธีคำนวณ HRmax และโซนการเผาผลาญไขมัน

HRmax (อัตราการเต้นหัวใจสูงสุด)
= 220 – อายุ (ปี)

Fat Burn Zone (60–70%)
= HRmax × 0.60 ถึง HRmax × 0.70

🔎 ตัวอย่าง:
อายุ 30 ปี → HRmax ≈ 190 bpm
→ Fat Burn Zone = 190 × 0.6 ถึง 190 × 0.7 = 114 – 133 bpm

แปลว่า:
หากต้องการกระตุ้นร่างกายให้ใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานหลัก ควรออกกำลังกายให้หัวใจอยู่ในช่วง 114–133 ครั้ง/นาที

✅ เทคนิคเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน

  1. ออกกำลังกายแบบ steady-state cardio (ระยะยาว ความหนักปานกลาง) เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน 45–60 นาที 
  2. ฝึก HIIT (High Intensity Interval Training) เพื่อเร่งการเผาผลาญหลังออกกำลังกาย (EPOC effect) 
  3. ฝึกตอนท้องว่าง (fasted cardio) (ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อน) มีงานวิจัยบางส่วนพบว่าอาจเพิ่มอัตราใช้ไขมันได้เล็กน้อย 
  4. เพิ่มมวลกล้ามเนื้อด้วยเวทเทรนนิ่ง → ช่วยเพิ่ม BMR และอัตราการใช้ไขมันขณะพัก 

🧭 สรุป

  • การหาอัตราการเผาผลาญไขมันของแต่ละคนทำได้ทั้งแบบแม่นยำ (Lab-based) และแบบประเมินทั่วไปจากระดับหัวใจ 
  • การควบคุมโซนหัวใจระหว่างออกกำลังกายอยู่ที่ ~60–70% HRmax จะช่วยเร่งการดึงไขมันมาใช้ 
  • อย่าลืม: การใช้ไขมันเป็นพลังงานต้องอาศัย “Caloric Deficit” อย่างปลอดภัยร่วมด้วย

การเลือกไส้กรองแก๊สและไอระเหย มาตรฐานยุโรป EN

แชร์บทความนี้

มาตรฐานยุโรป EN ความรุนแรงของแก๊สและไอระเหยโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับ 1.ลักษณะของแก๊สและไอระเหยว่าเป็นพิษมากน้อยเพียงไร 2. ชนิดของ…

อ่านต่อ »

การเลือกหน้ากากกันฝุ่น กันเชื้อโรค

แชร์บทความนี้

เราจึงควรต้องมีความรู้ ในการเลือกหน้ากากให้ถูกชนิดจึง แนะนำการเลือกหน้ากากกันโรค เพื่อการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ สร้างความปลอดภัยได้…

อ่านต่อ »

การเลือกไส้กรองแก๊สและไอระเหย มาตรฐานยุโรป EN

แชร์บทความนี้

มาตรฐานยุโรป EN ความรุนแรงของแก๊สและไอระเหยโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับ 1.ลักษณะของแก๊สและไอระเหยว่าเป็นพิษมากน้อยเพียงไร 2. ชนิดของ…

อ่านเพิ่มเติม »