เมื่อ วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา ได้รับแจ้งเหตุแผ่นดินไหวจาก กรมอุตุนิยมวิทยา เกิดเหตุแผ่นดินไหว ที่ประเทศเมียนมา ขนาด 6.4Magnitude ลึก 3 กิโลเมตร หลายจังหวัดในภาคเหนือรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน และเกิดอาฟเตอร์ช็อคตามมาอีก 45 ครั้ง ทำให้อาจจะเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ฉะนั้น เราจำเป็นที่จะต้องรู้จักการรับมือเมื่อเจอแผ่นดินไหว กันครับ เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีก จะได้มีวิธีรับมือครับ
อย่างแรกที่ต้องมีเลยนะครับ คือ สติ ให้เร่งหาที่ปลอดภัยและอย่าตกใจเกินไป เพราะการบาดเจ็บส่วนใหญ่เกิดจาก วิ่งเข้าวิ่งออกบ้านนี่แหละครับ
1.หากอยู่ในอาคารสูง
ควรรีบออกจากตึกโดยเร็ว และออกห่างจากสิ่งที่สามารถล้มทับเราได้ และใช้บันไดหนีไฟเท่านั้น ห้ามใช้ลิฟต์โดยเด็ดขาด ไม่ควรจุดไฟหรือทำให้เกิดประกายไฟภายในอาคาร เพราะเนื่องจากอาจจะเกิดแก๊สรั่วภายในอาคารและทำให้ระเบิดขึ้นได้ ให้อยู่ห่างจากกำแพง หรือกระจก ให้มุดเข้าใต้โต๊ะหรือเตียงที่สามารถกำบังจากวัตถุที่จะตกลงมาจากที่สูงได้
เมื่อแผ่นดินไหวสงบลงแล้วตรวจสอบความเรียบร้อยแล้ว จึงออกไปยังที่โล่งแจ้งได้
2.หากอยู่ในพื้นที่โล่ง
หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ตึกสูง กำแพง เสาไฟฟ้า ทางด่วน สะพานลอย เพราะอาจจะมีวัตถุตกใส่ได้ หลีกเลี่ยงการอยู่ริมหน้าผา ภูเขา เพราะอาจจะเกิดดินถล่มได้
3.หากกำลังขับรถอยู่บนถนน ให้หยุดรถก่อนและรอภายในรถจนกว่าแผ่นดินไหวจะหยุดลง
หากท่านสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว ก็อย่าลืมห่วงใยความปลอดภัยของคนรอบข้างด้วยนะครับ
สถิติการเกิดแผ่นดินไหว
การกระจายตัวของเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ถูกตรวจวัดและบันทึกได้ จากฐานข้อมูลแผ่นดินไหวของกรมอุตุนิยมวิทยาส่วนใหญ่เป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวบนแผ่นดิน (intraplate earthquake) ทางตอนเหนือของประเทศไทย ครอบคลุมแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวใน บริเวณประเทศพม่าเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงประเทศลาวและประเทศจีนตอนใต้ สำหรับในบริเวณ ประเทศไทย การกระจายตัวของเหตุการณ์แผ่นดินไหวส่วนใหญ่อยู่ทางภาคเหนือและภาคตะวันตก มี แผ่นดินไหวในบริเวณภาคใต้บ้างแต่ไม่มากนัก สอดคล้องกับข้อมูลแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวหรือรอย เลื่อนมีพลัง ซึ่งส่วนใหญ่จะพบอยู่ในบริเวณภาคเหนือของประเทศไทย สำหรับการกระจายตัวของ เหตุการณ์แผ่นดินไหวในทะเลหรือในบริเวณแนวมุดตัวของแผ่นเปลือกโลก (subduction zone)
แผนที่แสดงเหตุการณ์แผ่นดินไหว ( วงกลมสีเขียว )
ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและพื้นที่ใกล้เคียง ตั้งแต่ปี 1998 – 2020
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กรมอุตุนิยมวิทยา
BBC.com